ขอเปรียบเทียบดวงตาคนเราเหมือนกล้องถ่ายรูป ในการใช้กล้องถ่ายรูป ถ้าเราต้องการถ่ายภาพระยะต่างๆกันให้ได้ภาพที่ชัดเจน เราทำได้โดยการปรับโฟกัส เลื่อนกล้องเข้าออกให้ได้ระยะที่เหมาะสม สำหรับตาคนเราไม่สามารถหดหรือยืดลูกตาออกไป แต่จะปรับภาพที่ระยะ ใกล้ให้ชัดโดยวิธีเพิ่มกำลังให้แก่แก้วตา โดยขบวนการที่เรียกว่าการเพ่ง (Accommodation) กล่าวคือ ในขณะที่เรามองภาพระยะไกล ตาเราจะอยู่ในระยะพัก แต่เมื่อเราต้องการดูระยะใกล้ จะเกิดการหดตัวตึงของกล้ามเนื้อแก้วตาที่ช่วยในการเพ่ง จึงเป็นเหตุให้แก้วตาคนเราป่องออก เป็นการเพิ่มกำลังหักเหของแสง ทำให้เห็นภาพระยะใกล้ชัดเจนขึ้น
กลไกการเพ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติและปกติ ตั้งแต่เด็กจนถึงอายุประมาณ 40 ปี ต่อจาก นั้นขบวนการเพ่งจึงอ่อนแรงลง ได้มีผู้ศึกษาโดยวิธีตรวจวัด พบว่าในเด็กๆ เราอาจเพ่งได้มาก จึงมองภาพที่อยู่ชิดตาได้ชัดเจน เมื่ออายุมากขึ้นกำลังการเพ่งจะลดลงมาเรื่อยๆ จนถึงอายุประ มาณ 40 ปีกำลังเพ่งที่เหลืออยู่ไม่พอที่จะใช้ดูหนังสือที่ระยะ 1 ฟุตได้ ต้องเลื่อนหนังสือให้ไกลออกไป หรือใช้แว่นที่มีกำลังเป็นบวก (เลนส์นูน) ชดเชย ซึ่งกำลังการเพ่งจะลดลงเรื่อยๆ จนเป็น 0 (ศูนย์) หรือไม่มีเลยเมื่ออายุประมาณ 75 ปี
ขบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นขบวนการปกติของคนเราทุกคน แต่จะเริ่มเสื่อมลงเร็ว หรือช้าในระยะเวลาต่างๆกันในแต่ละคน โดยเฉลี่ยจะเริ่มอายุประมาณ 40 ปี ผู้หญิงอาจจะเร็วกว่าผู้ชายเล็กน้อย ถ้าคนที่มีสายตาสั้นอาจจะเริ่มเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี คนที่สายตายาวอาจจะเริ่มเมื่ออายุน้อยกว่า 40 ปี นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับว่า ผู้ที่มีสายตาผิดปกตินั้นใช้แก้ไขด้วยวิธีใด เช่น คนสายตาสั้น ถ้าใช้เลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์/Contact lens) เป็นประจำ อาจจะเป็นสายตาสูงอายุเร็วกว่าคนสายตาสั้นขนาดเท่ากันที่ใช้แว่นตา เป็นต้น
แต่เดิมเรามักเรียกภาวะ หรือโรคนี้ว่า สายตาคนแก่ คำว่า “คนแก่” คงจะแสลงใจบางคนจึงมีคนหันมาใช้คำว่า “สายตาผู้สูงอายุ” (Presbyopia) แทน ซึ่งฟังดูไพเราะกว่า ตัวผู้เขียนเองมีความรู้สึกคล้ายกับว่า ผู้สูงอายุ หมายถึงทั้งอายุมาก ประสบการณ์มากด้วย (อาจจะเข้าใจผิดก็ได้) ทั้งนี้เพื่อความสบายใจของตนเองและยอมรับความเป็นคนแก่มากขึ้น
ท่านผู้อ่านที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป คงรู้จักภาวะสายตาผู้สูงอายุดี ถือเป็นภาวะปกติที่พบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยมีอาการมองภาพใกล้ๆไม่ชัดเจน ในขณะที่มองไกลยังเห็นได้ดี มีวิธีสังเกตได้ง่ายๆก็คือ อ่านหนังสือในระยะห่างจากตา 1 ฟุต หรือระยะที่เคยอ่านเห็นกลับอ่านไม่ชัด ต้องใช้วิธีเลื่อนหนังสือให้ไกลออกไป หรือถ้าเป็นคุณแม่บ้านที่เย็บปักผ้า จะเริ่มสนเข็มไม่เข้าเนื่องจากไม่เห็นรูเข็ม บางคนอาจจะใช้วิธีหยีหรือหรี่ตาให้เล็กลง ก็จะช่วยให้พออ่านหนังสือได้ง่ายขึ้น
การแก้ไขภาวะสายตาผู้สูงอายุนี้ถือเป็นปกติตามวัย เฉกเช่น ผมหงอกขาว ผิวหนังเหี่ยวย่น เมื่ออายุมากขึ้น วิธีแก้ไขทำได้ง่ายมาก โดยการวัดสายตาประกอบแว่น ซึ่งมีทางเลือก ดังนี้
ใช้แว่นสายตาเฉพาะมองใกล้ ถ้าจะมองไกลก็ถอดแว่นออก เช่น ถ้าจะอ่านหนังสือ หรือเย็บผ้าก็สวมแว่น เสร็จงานแล้วก็ถอดแว่นออก แว่นชนิดนี้ไม่เหมาะกับคนที่อยากจะมองทั้งไกลและใกล้ในเวลาเดียวกัน เช่น ครูที่สอนหนังสือ อาจจะต้องมองเด็กหลังชั้นพร้อมกับดูหนัง สือหรือตรวจงานเด็ก ถ้าใช้แว่นชนิดนี้ทำให้ต้องใส่แว่น ถอดแว่น ใส่ๆถอดๆ หรือต้องมองลอดแว่น
ใช้แว่นตา 2 ชั้น เลนส์ของแว่นตาชนิดนี้จะมีรอยต่อระหว่างเลนส์แว่นตาเห็นชัด เจน เมื่อมองไกลใช้เลนส์บน เมื่อมองใกล้ใช้เลนส์ล่าง จึงสะดวกสำหรับผู้ต้องมองทั้งไกลและใกล้ในการทำงาน แว่นตา 2 ชั้นอาจมีรูปร่างต่างๆกัน บริเวณรอยต่ออาจจะโค้งหรือเป็นเส้นตรงแค่บางส่วนหรือแบ่งครึ่งบนและล่าง แต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างๆกัน
ข้อเสียของเลนส์แว่นตา 2 ชั้น คือ บริเวณรอยต่อจะมีการเปลี่ยนแปลงการหักเหของแสง หากมองภาพตรงบริเวณรอยต่อ จะรู้สึกเหมือนภาพของวัตถุกระโดดหรือเคลื่อนที่ไปจากความเป็นจริง โดยเฉพาะผู้ที่ใช้เลนส์แว่นตาชนิดนี้ใหม่ๆ ไม่ควรใส่แว่นตาชนิดนี้ขึ้นลงบัน ได เพราะอาจจะก้าวพลาดพลั้งได้ มีหลายๆคนมีความกังวลว่า ใส่แว่นชนิดนี้แล้วจะมีอาการมึนงง ภาพที่เห็นกระโดดไปมา แต่โดยทั่วไปจะเป็นเฉพาะระยะแรกเท่านั้น เมื่อใช้ไปนานเข้า ก็จะปรับตัวได้ ข้อเสียของแว่นตาชนิดนี้อีกประการหนึ่งก็คือ เป็นตัวฟ้องว่าผู้ใช้แว่นชนิดนี้ สูงอายุแล้ว จึงมีคนรังเกียจที่จะใช้
เลนส์แว่นตาชนิดหลายโฟกัส กล่าวคือ ในเลนส์แว่นตาอันนั้นกำลังหักเหของแสงจะลดหลั่นกันลงมา มีการปรับโฟกัสตั้งแต่ระยะไกลที่สุดจนระยะใกล้ที่สุด โดยไม่มีรอยต่อให้เห็นระหว่างแต่ละโฟกัส ดูเหมือนว่าเลนส์ชนิดนี้น่าจะดีที่สุด เพราะเห็นชัดทุกระยะ
แต่ข้อเสียเช่นเดียวกับเลนส์แว่นตา 2 ชั้น คือบริเวณปรับเปลี่ยนโฟกัส อาจทำให้เห็นภาพเคลื่อนที่ได้ และข้อเสียอีกอย่างก็คือ ภาพข้างๆจะบิดเบี้ยวไปจากความจริงมากทำให้ผู้สวมมึนงง
วิธีแก้ไขก็คือ อย่าใช้วิธีชำเลืองดู เพราะจะไปมองผ่านด้านข้างๆของเลนส์ ให้ใช้วิธีหันหน้าไปมองวัตถุโดยตรง เลนส์ชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่อยากให้ใครเห็นแว่น 2 ชั้น และผู้ที่ต้องการมองภาพชัดเจนหลายระยะด้วยแว่นเดียว
เลนส์สัมผัส เพื่อสนองความต้องการของผู้สูงอายุที่ไม่อยากใช้แว่นตา มีผู้ผลิตเลนส์สัมผัสชนิดที่มีโฟกัส 2 อัน คือเมื่อใช้เลนส์ชนิดนี้แล้วจะสามารถมองเห็นชัดทั้งระยะไกลและใกล้ แต่เลนส์ชนิดนี้ยังไม่ค่อยนิยมกันนัก นอกจากนั้น ในขณะนี้ กำลังเลนส์ที่มีขายยังจำ กัด ไม่มีทุกกำลัง จึงแก้ไขได้เฉพาะในบางคนเท่านั้น และผู้ใช้ยังมีความยุ่งยากต้องหมั่นดูแลรักษาเลนส์สัมผัส
การแก้ไขโดยวิธี Monovision สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องใช้สายตาไกลและใกล้ในเว ลาเดียวกัน และไม่อยากที่จะใช้แว่นตา 2 ชั้นหรือแว่นหลายโฟกัสไร้รอยต่อ อาจจะทำเลนส์ใช้ดูไกลด้วยตาข้างหนึ่ง และดูใกล้ด้วยตาอีกข้างหนึ่ง โดยใช้ตาที่ถนัดหรือดีกว่ามองใกล้ ตาอีกข้างมองไกล (เนื่องจากเป็นเทคนิคเฉพาะ ถ้าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ให้ปรึกษาหมอตา/จักษุแพทย์)
การผ่าตัด ขณะนี้กำลังมีวิธีผ่าตัดแก้ไขภาวะสายตาสูงอายุ แต่ผลยังไม่เป็นที่พอ ใจ จึงยังไม่สมควรทำ คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง